มาลืม “ความแค้นเคือง” กันเถอะ (Forgive and Forget)
การนอน ช่วยผ่อนคลายสภาพร่างกายที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง อย่างไรก็ตาม มีบ่อยครั้งที่นัยน์ตาของข้าพเจ้าหลับได้ แต่ใจยังคงตื่นอยู่.. อย่างเช่นในตอนนี้ มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวกำลังรบกวนจิตใจ ไม่ให้สงบ
เหตุการณ์ที่ว่านี้ เกิดขึ้นเมื่อเช้าวันอังคารที่ผ่านมา ขณะที่กำลังผ่าตัดคลอดบุตรให้กับสตรีนางหนึ่งอยู่ จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ภายในห้องผ่าตัด ก็ดังขึ้น พยาบาลห้องผ่าตัดรับสาย และถ่ายทอดคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ มีคนไข้ท้องที่ 3 คนหนึ่ง เจ็บครรภ์มาที่ห้องคลอด อายุครรภ์ประมาณ 36 สัปดาห์ ท้องที่แล้วผ่าตัดคลอดเนื่องจากเด็กตัวใหญ่ น้ำหนักถึง 4.2 กิโลกรัม ท้องนี้เจ็บครรภ์ตั้งแต่เที่ยงคืน ตรวจภายในพบว่า ปากมดลูกเปิด 9 เซนติเมตร แต่.. ฟังเสียงหัวใจทารกไม่ได้ยิน แม้จะใช้เครื่องขยายเสียง Doptone แล้วก็ตาม หมอจะให้ทำยังไงดี ”
“ ตอนนี้ผมออกจากห้องผ่าตัดไปดูคนไข้ไม่ได้ เพราะกำลังผ่าตัดอยู่ ขอให้พยาบาลห้องคลอดรีบส่งคนไข้มาห้องผ่าตัดด่วนเลย เดี๋ยวผมจะผ่าตัดทำคลอดให้ ” ข้าพเจ้าตะโกนบอก แล้วรีบเย็บปิดผนังหน้าท้องของคนไข้รายที่กำลังนอนอยู่ โชคดี…ที่เหลือการผ่าตัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การจัดเตรียมคนไข้รายใหม่เพื่อผ่าตัดเป็นไปอย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้าลงมีดที่หน้าท้องคนไข้ทันทีที่ดมยาสลบและผ่าตัดเปิดเข้าสู่ภายในช่องท้องและมดลูกในเวลาเพียงแค่ 5 นาที แต่….. สายเกินไปเสียแล้ว ทารกที่คลอดออกมา อยู่ในสภาพไม่ไหวติง น้ำคร่ำมีสีเขียวค่อนข้างข้นเพราะเด็กถ่ายขี้เทาออกมาจำนวนมาก
ข้าพเจ้ารีบดูดน้ำคร่ำออกจากปากและจมูกเด็ก แล้วรีบส่งให้กุมารแพทย์ที่รออยู่ พวกเราทุกคนช่วยเหลือกันอยู่อย่างรีบเร่ง วิสัญญีแพทย์และพยาบาลต่างมาช่วยเท่าที่จะทำได้ กรรมวิธีช่วยเหลือชีวิตทารกแรกเกิดที่ไม่หายใจ คือ การปั๊มหัวใจ การใส่ท่อช่วยหายใจ การฉีดยากระตุ้นการเต้นของหัวใจ รวมทั้งการเปิดเส้นเลือดดำบริเวณสายสะดือเพื่อให้น้ำเกลือ
หลังจากส่งเด็กให้กุมารแพทย์ไป ใจข้าพเจ้าก็มุ่งสมาธิอยู่กับคนไข้ผู้เป็นมารดาเท่านั้น การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อย จนเสร็จสิ้น
ขณะที่กำลังเย็บปิดหน้าท้องของคนไข้ กุมารแพทย์ได้มากระซิบที่ข้างหูเบา ๆ ว่า “เราไม่สามารถช่วยเหลือชีวิตทารกไว้ได้ เนื่องจากทารกตายไปนานแล้ว เลือดภายในสายสะดือจับตัวแข็งตลอดแนวของเส้นเลือด จนไม่สามารถสอดใส่สายน้ำเกลือเข้าไปในเส้นเลือดดำได้เลย
ข้าพเจ้ารับทราบและถอนหายในโดยไม่รู้ตัว พลางพูดว่า “ เราได้พยายามกันอย่างสุดความสามารถแล้ว ”
หลังผ่าตัด คนไข้ถูกส่งไปยังห้องพักฟื้นเพื่อสังเกตอาการหรือภาวะแทรกซ้อน เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าได้รับการเรียกตัวจากห้องคลอดให้กลับมาดูคนไข้ด่วน เนื่องจากคนไข้มีเลือดออกจากช่องคลอดตลอดเวลา
ตอนแรกข้าพเจ้าทำการตรวจภายในบนเตียงรถเข็น แต่คนไข้แสดงอาการเจ็บปวดท้องน้อยอย่างมาก จึงต้องย้ายไปตรวจยังห้องผ่าตัด เพื่อให้ยาแก้ปวดและดมยาสลบทางสายน้ำเกลือ ผลการตรวจปรากฏว่า การตกเลือดหลังคลอดครั้งนี้ เกิดจาก ภาวะกล้ามเนื้อมดลูกเฉื่อย (UTERINE INERTIA) หรือมดลูกไม่หดรัดตัว
การรักษาคือ การให้ยากลุ่มพรอสตาแกลนดิน (Nalador) เพื่อให้มดลูกหดรัดตัวตลอดเวลา พร้อมกับยาฆ่าเชื้อโรคร่วมด้วย หากการรักษาทางยาไม่ได้ผล ข้าพเจ้าคงจำเป็นต้องตัดมดลูกของคนไข้ทิ้ง ซึ่งถือเป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษาภาวะตกเลือดหลังคลอดชนิดเฉียบพลัน (Immediate Postpartum Hemorrhage)
ยังโชคดีที่มดลูกของคนไข้กลับมาหดรัดตัวดีอีกครั้ง คนไข้จึงรอดพ้นจากการตัดมดลูก คนไข้ได้รับการส่งตัวไปยังหอผู้ป่วยชั้น 6 ในตอนบ่ายใกล้ค่ำ คืนนั้น ไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ ให้ตกใจ แต่พอรุ่งเช้า ข้าพเจ้าก็ต้องตกใจเมื่อพยาบาลประจำหอผู้ป่วยชั้น 6 โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าอย่างรีบร้อน
“หมอ หมอ สามีคนไข้ที่ลูกเสียชีวิตเมื่อวาน อยากจะคุยด้วย” พยาบาลคนนั้นบอกถึงวัตถุประสงค์ และพูดต่อว่า “ดูท่าทาง รู้สึกว่า สามีของคนไข้ไม่ค่อยพอใจ หมอช่วยขึ้นมาคุยกับสามีคนไข้เดี๋ยวนี้เลยได้ไหม?”
“ได้ ได้” ข้าพเจ้าตอบและรีบรุดขึ้นไปพบกับสามีคนไข้ทันที ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แล้วว่า สามีคนไข้กำลังอารมณ์เสีย ทันทีที่พบหน้าข้าพเจ้า เขาแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างมาก และถามว่า “ทำไมลูกผมถึงเสียชีวิต ?”
“ผมอยากจะเล่าให้ฟังว่า เมื่อภรรยาคุณมาถึง ผมกำลังผ่าตัดอยู่ พยาบาลห้องคลอดได้ฟังเสียงหัวใจลูกของคุณ แต่ฟังไม่ได้ยิน แม้จะใช้เครื่องขยายเสียง(Doptone)การเต้นของหัวใจทารกมาฟัง ตอนนั้น ผมไม่สามารถผละออกจากคนไข้ที่กำลังผ่าตัดได้ จึงตัดสินใจให้พยาบาลส่งภรรยาของคุณเข้ามาผ่าตัดด่วน พอภรรยาคุณมาถึง เราได้ให้ภรรยาคุณเข้าห้องผ่าตัด และผมก็ผ่าตัดช่วยคลอดทันที กุมารแพทย์ วิสัญญีแพทย์พร้อมอยู่ก่อนหน้า พอเด็กคลอด ทุกคนได้ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ แต่เส้นเลือดในสายสะดือแข็งไปหมดแล้ว แสดงว่าเด็กได้ตายมาก่อนหน้านี้นานพอสมควร ไม่ใช่เพิ่งมาตาย ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นพยานได้ พวกเราช่วยเต็มที่แล้ว” ข้าพเจ้าพยายามพูดด้วยความใจเย็น และแสดงความเสียใจอย่างมากต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับกล่าวว่า “พวกเราทุกคน ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นหรอก ผมเสียใจด้วยจริงๆ”
สามีของคนไข้ได้ซักถามเหตุการณ์อย่างละเอียด โดยเฉพาะในส่วนที่นำภรรยาของเขาเข้าห้องผ่าตัดถึง 2 ครั้ง ข้าพเจ้าได้ตอบข้อข้องใจอย่างตรงไปตรงมาว่า “ ที่เราจำเป็นต้องนำคนไข้เข้าห้องผ่าตัดเป็นครั้งที่ 2 ก็เพราะคนไข้ตกเลือดหลังคลอด การตรวจในห้องผ่าตัดก็เพื่อให้ยาแก้ปวดและยาดมสลบ คนไข้จะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเวลาตรวจ ซึ่งทำให้เราวินิจฉัยได้ถูกต้องและสามารถช่วยหลีกเลี่ยงการตัดมดลูกของคนไข้ ด้วยการให้ยากระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวตลอดเวลา ”
สามีของคนไข้เล่าว่า “ท้องนี้เป็นท้องที่ 3 ท้องแรกคลอดที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด ลูกที่คลอดออกมามีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันก็เสียชีวิต ไม่มีใครตอบคำถามว่า ลูกผมเสียชีวิตเพราะอะไร ผมยังแค้นใจอยู่จนทุกวันนี้ ท้องที่ 2 ภรรยาผมไม่สามารถคลอดโดยธรรมชาติได้เนื่องจากเด็กตัวใหญ่ จึงได้รับการผ่าตัดคลอด และลูกปลอดภัย นี่เป็นท้องที่ 3….. ทำไมครอบครัวผมจึงต้องโชคร้าย…ลูกต้องมาตายซ้ำอีกเช่นนี้ด้วย”
ข้าพเจ้าพลิกดูประวัติการฝากครรภ์ของคนไข้ จึงทราบว่า คนไข้เริ่มมาฝากครรภ์เมื่อตั้งครรภ์ถึง 28 สัปดาห์ ซึ่งถือว่า ค่อนข้างช้าไปหน่อย เธอได้รับการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ พบว่า อายุครรภ์ขณะนั้นน่าจะเข้าได้กับ 33 สัปดาห์ ต่างจากเดิมถึง 5 สัปดาห์ วันที่เจ็บครรภ์มาคลอด คนไข้ตั้งครรภ์ได้ 31 สัปดาห์ แต่จริงๆน่าจะเป็น 36 สัปดาห์ อายุครรภ์เป็นส่วนที่สำคัญมากในการตัดสินใจรักษา ไม่ควรมีการสับสนกับการแปลผล ดังนั้น สตรีตั้งครรภ์ทุกคน จึงควรมาฝากครรภ์แต่เนิ่นๆเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว นอกจากนั้น คนไข้ยังมีปัญหาเรื่องโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย และความดันโลหิตสูงมาก่อนด้วย บางที… โรคต่าง ๆ ที่กล่าวมา อาจอยู่เบื้องหลังการตายของทารกในครั้งนี้ ก็เป็นได้
การฝากท้องถือเป็นหัวใจสำคัญของการตั้งครรภ์ สตรีคนใดที่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ควรรีบมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลทันที ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ระหว่างตั้งครรภ์นั้นมีไม่ใช่น้อย บางที..มันอาจนำไปสู่การสูญเสียบุตรสุดที่รักดั่งเช่นคนไข้รายนี้
ข้าพเจ้าได้พูดปลอบใจสามีของคนไข้อย่างมาก และสัญญาว่า หากภรรยาของเขาตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก ข้าพเจ้าจะดูแลเป็นกรณีพิเศษจนกระทั่งคลอดอย่างปลอดภัย
คนเรามักจะมีเรื่องเคืองแค้นกันอยู่เรื่อย ๆ ตลอดเวลา ถ้าเก็บเอามาครุ่นคิดโดยไม่แยกแยะให้ดี เราอาจหาความสุขไม่ได้เลยในชีวิต หลังจากเกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้แล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกปลงสังเวชกับชีวิตมนุษย์อย่างมาก เพราะมีผู้คนจำนวนมากมายที่คิดเคืองแค้นจนต้องเข่นฆ่ากันด้วยเรื่องเพียงเล็ก น้อย
ชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน “ เกิดยาก ตายง่าย ” อย่ามัวแต่คิดแค้นเคืองกันด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย เราจะสูญเสียเวลาไปโดยไร้ประโยชน์ ลืมความแค้นเคืองซะบ้าง ชีวิตคงจะบางเบา ยืนยาวขึ้น และนอนหลับได้ด้วยใจสงบ
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น