03 ธันวาคม 2559

เด็กพรีมี่

เด็กพรีมี่

บรรยากาศเมื่อคืนนี้ มีแต่ความสงบและปราศจากการรบกวนจากการปรึกษาของแพทย์ฝึกหัด เนื่องจากภายในห้องคลอดมีคนไข้สตรีอยู่เพียงรายเดียว เป็นท้องแรกตั้งครรภ์ 30 สัปดาห์ และได้รับการแก้ไขปัญหาการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้สั่งย้ายคนไข้ขึ้นไปนอนบนหอผู้ป่วยชั้น 6  ตั้งแต่หัวค่ำ  สรุปคือ เกือบทั้งคืนมีเพียงข้าพเจ้า แพทย์ฝึกหัดและเจ้าหน้าที่พยาบาลเวรเท่านั้นที่นอนเฝ้าโยงห้องคลอด

แต่จู่ๆเวลาประมาณ 5 นาฬิกาของเช้าวันนี้ ก็มีคนไข้สตรีรายหนึ่งเจ็บครรภ์มาที่ห้องคลอดของโรงพยาบาล  ตอนที่ได้รับรายงานว่า เป็นท้องแรก 31 สัปดาห์ ท่าก้น และปากมดลูกเปิด 5 เซนติเมตร  ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจว่า น่าจะพอแก้ไขได้ เพราะปัจจุบันแผนกกุมารเวชของโรงพยาบาลตำรวจ มีความสามารถในการดูแลเด็กเล็กเป็นอย่างดี  แต่พอทบทวนประวัติของคนไข้สตรีรายนี้ ก็ยังหวั่นๆใจว่า  อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนด….

“ จากประวัติ  คนไข้รายนี้ได้มานอนโรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่ 3 วันก่อน ด้วยเรื่องเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด  เพิ่งกลับบ้านเมื่อวานตอนเย็น  พอตกกลางคืน  ประมาณ 4 ทุ่ม ก็มีน้ำเดินและมูกเลือด  คนไข้คิดเอาเองว่า คงไม่เป็นไร เพราะ อาการเจ็บครรภ์ท้องแข็งดีขึ้นอย่างมาก จนคุณหมอผู้ดูแลอนุญาติให้กลับบ้าน ดังนั้น อาการที่มีน้ำเดินและเลือดออกจากช่องคลอดแค่นั้น อาจเป็นเรื่องปกติก็เป็นได้  แต่จริงๆ การมีน้ำเดินหรือเลือดออกจากช่องคลอดขณะท้องอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะอายุครรภ์เท่าไหร่ ก็ถือว่า ไม่ปกติแล้ว  ลักษณะเช่นนี้คงต้องดูแลคนไข้อย่างระมัดระวังหน่อย ”   ข้าพเจ้าพูดอธิบายให้แพทย์ฝึกหัดที่มาร่วมตรวจคนไข้รายนี้ฟัง  และเพิ่มเติมว่า “ บางที เราน่าจะทำอัลตราซาวนด์ให้กับคนไข้ เพื่อดูว่า ทารกมีความพิการแต่กำเนิดหรือเปล่า  เพราะภาวะเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด  ส่วนหนึ่งเกิดจากทารกในครรภ์พิการแต่กำเนิด  ถ้าทารกพิการจริงๆ  เราก็คงปล่อยให้คนไข้คลอดเองทางช่องคลอด โดยไม่จำเป็นต้องนำคนไข้ไปผ่าตัดคลอดให้เสียเวลาและทำให้คนไข้เจ็บตัวด้วย ”

“ คนไข้เคยทำอัลตราซาวนด์มาครั้งหนึ่งแล้วขณะอายุครรภ์ 20 สัปดาห์  ” แพทย์ฝึกหัดพูดสอดขึ้นมา เนื่องจากมีบันทึกในใบฝากครรภ์ที่หมายเหตุไว้ว่า เคยทำอัลตราซาวนด์มาก่อนที่คลินิกแห่งหนึ่ง โดยไม่มีหมายเหตุว่า  พบสิ่งผิดปกติ

“ อย่างนั้น รีบเอาคนไข้ไปเข้าห้องผ่าตัดด่วนเลย เพราะ คนไข้มีน้ำเดินออกมา    ตั้งแต่ 4 ทุ่ม ปานนี้น้ำคร่ำอาจจะไหลออกมาจนเกือบหมดถุงน้ำคร่ำแล้วก็ได้ เนื่องจาก ก้นของเด็กอาจจะไม่ปิดพอดีกับปากมดลูก ทำให้มีรูรั่วให้น้ำคร่ำไหลออกตลอดเวลาหากน้ำคร่ำมีน้อยมากๆในโพรงมดลูก จะมีผลทำให้สายสะดือถูกกดทับได้ง่าย และเด็กจะตายทันทีที่สายสะดือถูกกดทับ ” ข้าพเจ้าพูดสอนแพทย์ฝึกหัดในขณะที่เร่งให้เจ้าหน้าที่รีบส่งคนไข้ไปห้องผ่าตัดที่อยู่ติดกันกับห้องคลอด  พร้อมกับพูดเน้นกับพยาบาลห้องคลอดให้ตามกุมารแพทย์ไปรับเด็กด้วย

“ เออเราจะรีบผ่าตัดคลอดให้กับคุณเลยนะ เพราะเด็กอาจตายได้ทุกขณะจากการที่สายสะดือถูกกดทับ ” ข้าพเจ้าหันหน้าไปบอกกับคนไข้สตรี และสังเกตว่า ใบหน้าของเธอซีดมากด้วยความตกใจ คนไข้สตรีรายนี้อายุเพียง 21 ปี ยังไม่มีประสบการณ์การคลอดใดๆ  อีกทั้งไม่มีความรู้เรื่องการตั้งครรภ์ จึงทำให้เธออยากจะถามโน่นถามนี่ แต่..ข้าพเจ้าไม่มีคำตอบที่จะทำให้เธอสบายใจได้เลย

ที่ห้องผ่าตัด กุมารแพทย์จัดเตรียมเครื่องมือสำหรับรับสถานการณ์ครั้งนี้อย่างพร้อมมูล  แต่ข้าพเจ้ายังคงหนักใจ กับการผ่าตัดครั้งนี้อยู่ดี เพราะกลัวเด็กจะไม่รอด  ข้าพเจ้าลงมีดผ่านผนังหน้าท้องของคนไข้อย่างรวดเร็วจนถึงชั้นมดลูก และพูดอธิบายบอกแพทย์ฝึกหัดไปด้วยว่า “ คนไข้รายนี้ตั้งครรภ์ 31สัปดาห์ ปกติ อายุครรภ์ขนาดนี้มดลูกส่วนล่าง( Lower segment ) จะหนามากการผ่าตัดมักมีปัญหาเรื่องการฉีกขาดของรอยแผลบนตัวมดลูกส่วนล่างและเย็บยาก แต่คนไข้รายนี้ ปากมดลูกเปิด 5 เซนติเมตรแล้ว ทำให้มดลูกส่วนล่างยืดตัวและบางลง การผ่าตัดเปิดมดลูกส่วนล่างจึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการฉีกขาดมากนัก  ปัญหาของเราตอนนี้ที่สำคัญ คือ เป็นเด็กท่าก้นและเป็นเด็กพรีมี่ด้วย (เด็กพรีมี่ หมายถึง เด็กที่คลอดก่อนกำหนดปกติ การทำคลอดท่าก้นก็เป็นเรื่องที่มีปัญหาอยู่แล้ว เช่น ปัญหาการหักของแขนขาเด็กจากกระบวนการคลอดที่ต้องปัดแขนปัดขาให้หลุดออกมาจากโพรงมดลูก แต่คนไข้รายนี้ยังตั้งครรภ์ไม่ครบกำหนดด้วย ซึ่งเด็กอายุครรภ์น้อยๆแบบนี้  แขนขาย่อมบอบบางทำให้ยิ่งหักง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น ต้องทำคลอดด้วยความระมัดระวัง   อีกประการหนึ่ง คือ เรื่องการคลอดส่วนหัวของเด็ก  รกที่เกาะทางด้านล่างของมดลูกอาจขัดขวางการคลอดส่วนหัวได้  บางที เราอาจจำเป็นต้องใช้วิธีคลอดแบบหกคะเมน ตีลังกา          ( Smellie’s  method ) และตะแคงตัว เอาเด็กออกมา ”

 สำหรับทารกรายนี้ คลอดได้ไม่ยากอย่างที่คิด พอผ่าตัดเปิดมดลูกส่วนล่าง ก็เห็นก้นเด็ก  ข้าพเจ้ายังคงพูดกับแพทย์ฝึกหัดต่อว่า “ แผลผ่าตัดส่วนที่จะเอาเด็กออกนี้  ต้องเปิดให้กว้าง เพราะเด็กอาจคลอดติดหัวได้  ” จากนั้น ข้าพเจ้าจึงทำคลอดส่วนก้น ( Frank breech )  โดยดึงบริเวณส่วนพับของข้อตะโพก ให้ส่วนก้นโผล่ออกมาจนเห็นข้อพับเข่า แล้วทำคลอดส่วนขา ลำตัวแขนและส่วนหัว ออกมาอย่างนิ่มนวล   

พอศีรษะเด็กคลอด ข้าพเจ้าได้ใช้ลูกยางแดงดูดมูกในจมูกและปากออก  ปรากฏว่า มูกในจมูกปากเด็กเหนียวข้นมาก  ข้าพเจ้าดูดมูกในจมูกและปากเด็ก 2-3 ครั้ง  ก็ส่งเด็กให้กุมารแพทย์  กุมารแพทย์ได้ทำการดูดมูกจากจมูกปากเด็กต่อ  แต่ทำไปก็บ่นไปว่า “ มูกเหนียวข้นมาก  ดูดไม่ค่อยออกเลย ” สักพักหนึ่ง กุมารแพทย์ได้ อุทานออกมาและบอกกับพยาบาลผู้ช่วยว่า “ ตายแล้วหัวใจเด็กเต้นช้ามาก  อัตราการเต้นต่ำกว่า 100 ครั้งต่อนาที  เตรียมท่อช่วยหายใจให้หน่อย ” 

สักพักหนึ่ง หลังจากพ่นอากาศออกซิเจนเข้าจมูกปากเด็กทางหน้ากากพลาสติก กุมารแพทย์จึงใส่ท่อช่วยหายใจ และให้ยากระตุ้นการเต้นของหัวใจเด็ก พลางตะโกนบอกพยาบาลผู้ช่วยอีกว่า “ เด็กไม่ค่อยดี   รีบติดต่อ ไอซียูทารกแรกเกิดด่วน และเตรียมเครื่องช่วยหายใจอัตโนมัติไว้ด้วย ” 

ข้าพเจ้ายังคงทำหน้าที่ของตัวเอง คือเย็บปิดแผลผ่าตัดบนตัวมดลูกและหน้าท้องไปเรื่อยๆ เพราะคงไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะไปช่วยเหลือกุมารแพทย์  การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อย  โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆเกิดขึ้น

หลังออกจากห้องผ่าตัด คนไข้ถูกย้ายไปอยู่หอผู้ป่วยชั้น 6  ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมเธอ และเล่าถึงอาการของบุตรเธอที่อยู่ในสภาพไม่ดี  มีโอกาสเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ  คนไข้ร้องไห้เสียใจมาก น้ำตาไหลพรากตลอดเวลาและถามว่า “ ลูกของหนูเป็นผู้หญิงหรือชาย? ”  

ข้าพเจ้าแสดงความเสียใจ และตอบเธอว่า “ เป็นเด็กผู้หญิง  น้ำหนักแรกคลอด 1900 กรัม  ความดันโลหิต 60/30 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งอยู่ในสภาพช็อก นั่นเอง ”

น้าสาวของคนไข้ที่มาเฝ้าอยู่ข้างๆถามข้าพเจ้าว่า “ คนไข้จะท้องได้อีกเมื่อใดท้องต่อไปจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกไหมและจะหาทางป้องกันได้อย่างไร? ”

“ คุณควรพักการตั้งครรภ์ไว้ประมาณ 1 ปี แต่ไม่ต้องรับประทานยาคุมกำเนิดหรอก  ใช้วิธีคุมธรรมชาติก็แล้วกัน  แต่หากผิดพลาด  เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาก่อน 1 ปี  ก็ไม่ต้องไปทำแท้งนะ เดี๋ยวนี้ ถ้ามีการฝากครรภ์และได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด การตั้งครรภ์ซ้ำในกรณีเคยผ่าตัดคลอดมาก่อน  จะเกิดปัญหามดลูกแตกน้อยมากๆหรือไม่เกิดเลย   ” ข้าพเจ้าตอบคำถามแรก โดยหันไปพูดกับคนไข้โดยตรง  จากนั้น ได้ตอบคำถามต่อไปว่า “ ผู้หญิงคนไหนก็ตาม หากมีการคลอดก่อนกำหนดเกิดขึ้นครั้งหนึ่งท้องต่อไป ย่อมมีโอกาสเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดเกิดขึ้นซ้ำอีก ดังนั้น พอตั้งครรภ์ ต้องฝากครรภ์สม่ำเสมอและบอกกับคุณหมอผู้ดูแลบ่อยๆว่า ท้องที่แล้ว คลอดก่อนกำหนดและเด็กเสียชีวิตหลังคลอด  หมอท่านนั้นจะได้ให้ยาคลายกล้ามเนื้อมดลูกตั้งแต่อายุครรภ์ 24-25 สัปดาห์หรือประมาณ 6 เดือน เพื่อป้องกันปัญหาการคลอดก่อนกำหนด  คุณจะได้เลื่อนการตั้งครรภ์ออกไปจนครบหรือใกล้กำหนดคลอดได้ และคลอดอย่างปลอดภัย  อีกประการหนึ่งที่อยากจะบอก คือ ห้ามมีเพศสัมพันธ์ ตลอดการตั้งครรภ์  มิฉะนั้น สารคัดหลั่งในน้ำอสุจิจะมีผลทำให้มดลูกหดรัดตัวอย่างแรง  เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้  

เวลาประมาณ 16  นาฬิกา ทารกน้อยได้ถึงแก่กรรมที่ห้อง ไอ.ซียูทารกแรกเกิด คนไข้ สามีและญาติต่างพากันเศร้าโศกเสียใจ ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมอีกครั้งและพูดปลอบใจทุกคนว่า     “ พวกเราที่นี่พยายามช่วยเหลือเด็กอย่างสุดความสามารถแล้วกุมารแพทย์ได้โทรศัพท์บอกผมหลายครั้งว่า เด็กอยู่ในสภาพที่ไม่ดีและไม่น่าจะรอด  ผมเองก็เสียใจเช่นกัน  เด็กที่คลอดก่อนกำหนดและอาการไม่ดีเช่นนี้ หากรอดมาได้  สมองคงได้รับการกระทบกระเทือนไม่มากก็น้อย บางที การที่เขาเสียชีวิตไป อาจเป็นโชคดีของเขาที่จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานในสภาพคนพิการและเป็นภาระสำหรับพ่อแม่ ”

ข้าพเจ้าคงไม่มีคำพูดปลอบใจอะไรอีก คำพูดที่มากมาย หรือไพเราะน่าฟังอย่างไร   ก็คงไม่สามารถปลอบใจพวกเขาได้เพียงพอ เนื่องจากพวกเขาได้สูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป  บางที ข้าพเจ้าเอง ก็อยากจะบอกกับคนที่เป็นพ่อแม่ทุกคนว่า  ยามที่ลูกของเรายังใช้ชีวิตปกติสุขอยู่เช่นในปัจจุบัน   เราน่าจะให้เวลากับเขามากๆหน่อย  เมื่อยามลูกเราเติบใหญ่  เราจะได้ไม่สูญเสียพวกเขาไปในลักษณะที่เป็นคนไร้ค่า เช่น ทำชั่วเป็นนิจ  ติดยา  ค้าผงขาว  เป็นต้น     

ข้าพเจ้ามักถูกคนชักชวนให้ไปทำโน่นนี่  ที่คนอื่นเห็นว่าสำคัญอย่างมาก  ข้าพเจ้าเอง ก็อยากบอกกับคนเหล่านั้นบ้างเหมือนกันว่า “ ในอาทิตย์หนึ่งๆ ข้าพเจ้าแทบจะไม่ได้พาลูกไปว่ายน้ำหรือเที่ยวสวนสนุกเลย  เรื่องของคุณจะสำคัญได้อย่างไร? ”  

ใครๆก็มักจะหวังดีต่อเรา  ด้วยการชักนำไปทำสิ่งที่ดีต่างๆนานา  แต่นั่น ทำให้เราเสียเวลา และในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า ลูกของเราหรอก  แม้กระทั่งตัวเราเอง……………..

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เดินทางไปต่างประเทศ

เรียนท่านผู้อ่านที่เคารพรัก วันที่ 7 มีนาคม 2553 ข้าพเจ้าจะออกเดินทางไประเทศอินเดีย โดยมีกำหนดในเบื้องต้น 4 วัน คือจะกลับในวันที่ 10 ม...