03 ธันวาคม 2559

ความสุขของข้าพเจ้าอยู่ที่การนอน

ความสุขของข้าพเจ้าอยู่ที่การนอน

เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นกว่า 10 ปีมาแล้ว แต่ความตื่นเต้นระทึกใจทำให้คล้ายกับว่า มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้  ข้าพเจ้าได้เขียนบันทึกเหตุการณ์ต่างๆไว้อย่างละเอียดในหนังสือ   " อนุสรณ์เปิดตึกอุบัติเหตุ " ของโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 สุพรรณบุรีเมื่อ ปี พ.. 2530   เมื่อลองเปิดย้อนกลับไปอ่านดู รู้สึกว่ามีคุณค่าน่าสนใจ จึงขอนำมาเล่าต่ออีกครั้ง  

ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ชอบนอน พอถึงหัวถึงหมอน ก็นอนหลับได้ทันที แต่ก่อนมักมีเพื่อน ๆ คอยค่อนแคะว่า  ชอบนอนหลับในเวลาเรียน  ฟังแล้วให้รู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก แต่..ถ้าทุกคนรู้ถึง ที่มาของการเป็นคนหลับง่ายของข้าพเจ้า ก็คงจะเห็นใจ โดยเฉพาะต่อเหตุการณ์อุบัติเหตุที่   เกิดขึ้น

ระหว่างทางที่จะไปโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17สุพรรณบุรี

ใครๆ  ที่ผ่านชีวิตนักศึกษาแพทย์มา ย่อมตระหนักได้เลยว่า เวลานอนนั้นหายากจริงๆ แต่สำหรับข้าพเจ้า  เวลานอนหาได้ไม่ยากนัก  เพียงแค่หลับตาลง ในเวลาเพียงชั่วพริบตา  ประสาทสัมผัสก็ไม่ยอมรับรู้เรื่องราวใด ๆ แล้ว

สมัยเด็ก ๆ ข้าพเจ้าไม่เคยที่แม้จะคิด  หรือให้ความสำคัญเรื่องการนอนเลย  เพียงแค่นอนหลับได้ไม่ฟุ้งซ่าน ก็พอใจ ข้าพเจ้ามารู้ซึ่ง ถึงความสำคัญของการนอน ก็เมื่อตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี่เอง

           ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยฯ ได้ มีเวลาว่างอยู่หนึ่งปี  ทั้งนี้เป็นเพราะว่า  ปีก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยฯ ไม่ได้นะสิ

           เศร้าใจ  ก็เศร้าใจ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยยอมให้ความเศร้าโศกเสียใจมาเป็นเครื่องกีดขวางความทะเยอทะยาน

เพราะเหตุที่มีความทะเยอทะยานอยากเป็นหมอ ข้าพเจ้าจึงต้องขยันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังต้องอ่านหนังสืออย่างหนัก  ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้นอนไม่พอ หลายต่อหลายครั้งต้องนั่งฟุบหลับบนโต๊ะ หลังจากทนอ่านหนังสือไม่ไหว  บ่อยครั้งที่ตกใจตื่นขึ้นมา แล้วรีบถ่างเปลือกตา

ดูหนังสือต่อไป  ข้าพเจ้าอยู่ในอาการของคนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่  1  ปี  ผลกรรมที่ทำจึงหนุนนำให้สอบเข้าแพทย์ได้ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ความดีใจหลั่งไหลทะลักเข้ามาหาข้าพเจ้า เพราะได้เรียนแพทย์สมใจ ครั้งแรกที่ย่างก้าวเท้าเข้าไปมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งใจจะเอาเกียรตินิยมกลับมาอวดพ่อแม่   คิดว่า หากขยันและอดหลับอดนอนเหมือนตอนเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยฯ  คงจะคว้าเกียรตินิยมได้ แต่อยู่ ๆ ไป ขอแค่ให้จบการศึกษาได้ปริญญา ก็จำต้องขยันและอดหลับอดนอนแทบตายข้าพเจ้าอยู่ในอาการของคนครึ่งหลับครึ่งตื่น  6  ปีเต็มของชีวิต นักศึกษาแพทย์ ในที่สุด ก็สามารถเรียบจบและเดินออกจากรั้วของมหาวิทยาลัยฯ  ด้วยอาการของคนเพิ่งตื่นจากหลับ 

ตอนนั้น ข้าพเจ้าคิดในใจว่า  จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้  โดยจะใช้เวลาทำงานให้มากขึ้น และไม่นอนหลับในเวลาทำงาน "  

ในปีแรกที่ทำงานหลังรับปริญญา ข้าพเจ้าทำงานได้มากจริงๆ ที่โรงพยาบาลจังหวัดพัทลุง จนได้รับคำชมจากผู้บังคับบัญชาอยู่บ่อยๆ      แต่ก็ยังไม่เคยลืมนิสัยชอบนอนช่วงเวลากลางวัน  ซึ่งติดมาจากสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์

 ในปีที่สองของการจบแพทย์  มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คือ ถูกย้ายไปประจำโรงพยาบาลอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในจังหวัดเดียวกัน ชื่อ  "โรงพยาบาลปากพะยูน "  พร้อมกับตำแหน่งผู้อำนวยการ ที่นั่น งานตรวจรักษามีน้อยมาก ข้าพเจ้ายังคงปฏิบัติเหมือนเดิม คือ ช่วงเวลากลางวันจะนอนวันละประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกลูกน้องได้เขียนหยอกล้อข้าพเจ้าในข่าวสังคมซุบซิบของโรงพยาบาลว่า เป็น  เจ้าชายนิทรา "  ..การนอนหลับยามกลางวันได้กลายเป็นความเคยชิน เสียแล้ว

ในปีถัดมา ข้าพเจ้าขอย้ายกลับถิ่นบ้านเกิด มาประจำยังโรงพยาบาลอำเภอสองพี่น้อง  จังหวัดสุพรรณบุรี  นามว่า  "โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่  17   สุพรรณบุรี ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากบ้านข้าพเจ้าในตัวจังหวัดประมาณ 70 กิโลเมตร แต่ยังดี มีทางลัดระยะทางห่างเพียง 20 กว่า  กิโลเมตรเท่านั้น 

เส้นทางลัดนี้ ถนนเกือบครึ่งหนึ่งยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงและเป็นถนนลูกรัง แนวถนนส่วนใหญ่ทอดขนานกับคลองชลประทาน คือ มีลักษณะเป็นคลองชลประทานขนาบอยู่ทั้งสองข้างของถนน  ข้าพเจ้ามักใช้เส้นทางลัดนี้กลับบ้านบ่อยๆเพราะใกล้ ประกอบกับใช้รถกระบะเก่าจึงไม่ต้องห่วงหรือกลัวรถพัง

ถนนทางลัดสายนี้ เป็นถนนสายมรณะเส้นหนึ่ง เกือบทุกเดือนจะมีรถตกลงไปในคูคลองที่ขนานสองข้างทาง  หลายชีวิตจบลงที่นี่อย่างน่าอนาถ  คนที่รอดชีวิตมักมีปาฏิหาริย์มาช่วย

ด้วยนิสัยชอบนอนหลับเล็กน้อยตอนบ่าย เกือบทำให้ข้าพเจ้าต้องนอบหลับไปชั่วนิรันดร์  เพราะว่า  วันหนึ่ง  ข้าพเจ้าขับรถกระบะคันเก่ากลับบ้านในตัวเมืองจังหวัด  พอถึงบ้านและพักผ่อนสักครู่หนึ่ง  ข้าพเจ้าพลันนึกขึ้นได้ว่า  ตอนดึกประมาณตีสองคืนนั้น มีการแข่งขันฟุตบอลโลก ระหว่างทีมชาติบราซิล กับ ทีมชาติฝรั่งเศส  ข้าพเจ้ารู้สึกเกรงใจคนในบ้านไม่อยากรบกวนให้ตื่นขึ้นมาตอนดึก จึงขับรถย้อนกลับโรงพยาบาลในเส้นทางลัดเดิม เพื่อชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกนัดนี้

วันนั้น ข้าพเจ้าอ่อนเพลียมาก เพราะขับรถกลับไปกลับมาเป็นระยะทางยาว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าหนังตาหนักกว่าปกติ แต่ไม่มีลางสังหรณ์อะไรพิเศษว่า จะมีเหตุร้าย ขณะที่ขับรถเพลินๆ เหลือระยะทางอีกประมาณ  3-4  กิโลเมตรจะถึงโรงพยาบาล   ด้วยความเคยชินกับการหลับง่าย  นัยน์ตาฉับพลันก็ปิดลง  การปิดม่านตาครั้งนี้  เกือบปิดม่านชีวิตของข้าพเจ้าไปด้วย

ขณะนั้นข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า  รถสั่นสะเทือนผิดปกติ  แท้ที่จริง  รถกำลังไต่ข้างทางอยู่ในขณะที่ข้าพเจ้าหักพวงมาลัย เพื่อพยายามให้รถเลี้ยวขึ้นมาบนถนน รถก็หยุดการเคลื่อนไหว และพลิกตัว ตลบหนึ่งรอบลงไปแช่อยู่ในน้ำ ลักษณะเหมือนรถที่จอดคว่ำธรรมดา  แต่ล้อทั้งสี่จมอยู่ในน้ำครึ่งล้อ

ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาจาก "หลับในอยู่ในสภาพคล้ายตื่นจากภวังค์ พยายามตั้งสติ เพื่อหาทางเอาชีวิตรอด  ภายในรถตอนนั้น มีสิ่งของที่มีค่าเพียงวิทยุเทปอย่างดีหนึ่งเครื่อง วางอยู่ข้างตัวบนเบาะด้านซ้าย ใจนึกเป็นห่วงวิทยุ  คิดจะยกเอาออกไปด้วย ข้าพเจ้าขยับไปขยับมา ก็เห็นว่าวิทยุ

เครื่องใหญ่เกะกะเกินไป  ขืนห่วงพะวงมาก  คงจมลงไปพร้อมกัน

น้ำค่อย ๆ ซึมไหลเข้าสู่ภายในรถทางพื้นล่างอย่างช้า ๆ เพราะรถติดแอร์และกระจกปิดอยู่......จึงยังพอมีเวลา  ใจวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ขอให้ช่วยลูกช้างด้วย  ถ้ารอดตายไปได้  ข้าพเจ้าสัญญาว่า จะช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสและคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในภายภาคหน้า "

                หรือว่า……. ข้าพเจ้าจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในคลองชลประทานตื้น ๆ แห่งนี้ซะแล้ว!

สัญชาติญาณของการเอาชีวิตรอด  ทำให้ข้าพเจ้าเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่เลวร้าย  เริ่มต้นด้วยการสำรวจล็อคที่ประตูด้านคนขับ  พบว่า  ล็อคปลดเรียบร้อยแล้ว  จากนั้น ก็พยายามมองหาวัสดุที่จะมาทุบกระจก แต่ก็หาไม่พบ  รถค่อย ๆ จมลง  การที่จะดันประตูรถออกไป ย่อมเป็นไปได้ยาก  เพราะแรงดันน้ำภายนอกมากเหลือเกิน  ข้าพเจ้าตัดสินใจเอามือขวาจับง้างที่เปิดประตู

ข้างคนขับและเอาหัวไหล่ยันที่ประตูพร้อมที่จะดันออกไป  แล้วเอามือซ้ายมาไขกระจกลง เผื่อว่าจะลอดออกทางหน้าต่างได้  ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร  หลังจากไขหน้าต่างลงได้ครึ่งหนึ่ง  หน้าต่างก็มีอันไขต่อไปอีกไม่ได้แล้ว

น้ำทะลักเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดออกเหมือนน้ำล้นเขื่อน  รถจมลงอย่างรวดเร็วและน้ำท่วมในทันที  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วินาที แปล๊บเดียว!  น้ำท่วมเกือบมิดหลังคารถ  ข้าพเจ้าดิ้นรน กระเสือกกระสนอย่างทุรนทุราย เพื่อหายใจ ช้าไปอีกสักครึ่งนาที ข้าพเจ้าคงกลายเป็นศพที่น่าสงสาร

ขณะที่เกือบจะกลั้นลมหายใจไม่ไหวแล้วนั้น ฉับพลันประตูรถก็เปิดออก...ศีรษะและตัวของข้าพเจ้าคล้ายถูกแรงดูด ดึงให้โผล่พ้นน้ำพอดี   ข้าพเจ้าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเฮือกใหญ่ๆได้เฮือกหนึ่ง ทำให้สติที่เกือบจะหายไป หวนกลับคืนมาอีกครั้ง ลมหายใจเฮือกนี้ มีความหมายมากทีเดียว  ข้าพเจ้าเกือบจะหลับไปชั่วนิรันดร์เสียแล้ว

ความจริง ก่อนหน้าที่รถจะตกลงไปในน้ำ มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับอยู่ข้างหน้า ห่างจากรถข้าพเจ้าออกไปราว  20  เมตร  ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งซ้อนกันขับช้า ๆ กำลังจะกลับบ้าน   เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง คือ รถกระบะคันหนึ่งที่ขับตามมาข้างหลัง ส่ายไปมาในลักษณะเหมือนคนขับเมาหรือหลับใน เมื่อถึงทางโค้งแทนที่จะเลี้ยว  กลับขับตรงไป  จึงเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันดังกล่าว

เขาทั้งสองเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนรถจมลง จึงขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับมา ณ ตำแหน่งที่รถกระบะจมลง  โชคดีที่น้ำตื้น  ท่านผู้ใจบุญ คุณผู้ชาย จึงเดินลงไปในน้ำ พอเดินลงไปได้ครึ่งลำตัว  ก็ถึงรถพอดี   จากนั้น เขาได้ใช้เท้ายันตัวรถ และมือทั้งสองดึงประตูรถให้เปิดออก  ศีรษะข้าพเจ้าจึงโผล่พ้นน้ำได้  ถ้าไม่มีชายหญิงคู่นี้  ข้าพเจ้าคงตายไปแล้ว

ด้วยความสำนึกในพระคุณ หลังจากยกมือขึ้นกราบไหว้ผู้มีพระคุณทั้งสองแล้ว ข้าพเจ้า เกิดความคิดขึ้นมาในจิตว่า " เขากับเรา ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขายังบากบั่น ช่วยเหลือชีวิตของเราอย่างสุดความสามารถ ตัวเราเป็นหมอ โอกาสช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มีมากอยู่แล้ว ต่อแต่นี้ ข้าพเจ้า

จะทุ่มเทช่วยเหลือผู้คนให้มากกว่าที่เคยทำมา ยิ่งเป็นคนพิการและคนด้อยโอกาส ยิ่งจะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ "

เหตุการณ์ครั้งนี้  ได้ปลุกวิญญาณของข้าพเจ้าให้ตื่นอยู่เสมอ   เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า     การตื่นอยู่  ให้ความสุขกับเรา  ไม่แพ้การนอนหลับเลย "   

ทุกครั้งที่ถูกปลุกให้ไปดูคนไข้ ข้าพเจ้าจะนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้และไม่รีรอ รีบเร่งไปดูทันที  โดยเฉพาะคนไข้หนัก  เพราะหมอมีค่าสำหรับคนไข้อย่างมาก  ถ้าหมอไม่รับผิดชอบแล้ว  คนไข้อาจจะหลับไปชั่วนิรันดร์ได้  ชีวิตใคร  ใครก็รัก.....

เดี๋ยวนี้  ข้าพเจ้ายังคงนอนหลับง่ายเหมือนเดิม แต่..ไม่ถึงกับ ง่วงหงาวหาวนอนเหมือนแต่ก่อน เพราะไม่ต้องอดหลับอดนอน ทำงาน หามรุ่งหามค่ำเหมือนสมัยหนุ่มๆ  ภรรยาของข้าพเจ้าพูดเสมอว่า  คนอื่นไม่รู้อะไร  คนนอนหลับง่ายเป็นคนมีบุญ  สำหรับข้าพเจ้า  ยิ่งมีบุญมาก  พอหัวถึงหมอน  ก็นอนหลับแล้ว  ปลุกยากด้วย  ช่างมีความสุข  น่าอิจฉามากจริง ๆ "

                เพราะ.....เธอ....เป็นโรคนอนไม่หลับ!



                                                                                &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เดินทางไปต่างประเทศ

เรียนท่านผู้อ่านที่เคารพรัก วันที่ 7 มีนาคม 2553 ข้าพเจ้าจะออกเดินทางไประเทศอินเดีย โดยมีกำหนดในเบื้องต้น 4 วัน คือจะกลับในวันที่ 10 ม...