03 ธันวาคม 2559

โรคจิตขณะเบ่งคลอด

โรคจิตขณะเบ่งคลอด
เมื่อ 10 กว่าปีก่อน มีคนไข้รายหนึ่ง อายุ 20 ปี มานอนรอคลอดที่โรงพยาบาลตำรวจใน  ตอนบ่าย ใครจะไปคิดว่า ค่ำคืนวันนั้นจะมีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น ตอนช่วงเวลาประมาณตี 2   ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับอย่างสบายภายในห้องแพทย์เวร พยาบาลห้องคลอดได้มาปลุก และขอให้ไปดูคนไข้สตรีรายนี้ ที่กำลังโวยวายอย่างไม่รู้สึกตัวขณะเบ่งคลอด ข้าพเจ้ารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะคิดว่า คนไข้ที่กำลังเบ่งคลอดทุกคน ต้องมีอาการเจ็บครรภ์คลอดเป็นธรรมดา  การเจ็บครรภ์ตอนเบ่งคลอด ถือว่า เป็นการเจ็บปวดมากที่สุดในชีวิตของมนุษยชาติอย่างหนึ่ง    การที่คนไข้แสดงอาการโวยวายบ้าง ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร 

แต่..ที่ไหนได้ พอไปเห็นเหตุการณ์เข้าจริงๆ กลับรู้สึกว่า ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว  คนไข้แสดงอาการคล้ายคนเป็นโรคจิตทีเดียว คือ เอะอะโวยวาย และดิ้นกระเสือกกระสนไปมาอยู่บนเตียงคลอด แม้พยาบาล 4-5 คนจะช่วยกันจับแขนขาคนละมือ แต่คนไข้เหมือนถูกผีเข้าสิง   กลับยิ่งดิ้นรนมากขึ้น    พยาบาล  4-5  คนยังแทบจะสู้แรงคนไข้คนเดียวไม่ได้   การพูดจาของคนไข้ขณะนั้นเหมือนคนไร้สติและฟังไม่เป็นภาษามนุษย์ ข้าพเจ้าตั้งใจจะให้คนไข้คลอดทางช่องคลอด เพราะเด็กมีขนาดไม่ใหญ่นัก และปากมดลูกก็เปิดหมดแล้ว 

แต่เนื่องจากคนไข้ไม่ให้ความร่วมมือ ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า เด็กที่คลอดออกมา หายใจไม่ดีเลย และเนื้อตัวอ่อนปวกเปียก คะแนนสภาวะแรกเกิดอยู่ที่ และ 4 ( ที่ และ นาทีตามลำดับ ซึ่งบ่งบอกว่า  เด็กขาดออกซิเจนอย่างมากจนน่าจะมีผลต่อสมอง

ตลอดระยะเวลาที่อยู่ห้องไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด ซึ่งมีกุมารแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ทารกน้อย ก็มีชีวิตอยู่ดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน นั่นไม่ใช่ โชคร้ายเพียงอย่างเดียวของคนไข้รายนี้  ภายในห้องผ่าตัดวันนั้น หลังจากเย็บปิดมดลูกส่วนล่างเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามดลูกเกิดภาวะเฉื่อย ( Uterine Atony ) และตกเลือดอย่างรุนแรง จนไม่สามารถหยุดเลือดได้  ในที่สุด ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้ง  นั่นคือ โชคร้ายอีกครั้งหนึ่งของเธอ

วันรุ่งขึ้น คนไข้ได้สติคืนมา จึงรับรู้เรื่องราวต่างๆด้วยความเสียใจ เพราะนอกจากเสียบุตรชายแล้ว ยังต้องสูญเสียมดลูกอีกด้วย   

นั่นคือ ครั้งหนึ่งของเหตุการณ์ที่คนไข้แสดงอาการจิตวิปริต ( Psychosis ) ขณะคลอด ซึ่งข้าพเจ้าเคยหวังว่า คงจะไม่เจอกับเหตุการณ์เช่นนั้นอีก

เวลาผ่านไปกว่า 10 ปี จนกระทั่งเมื่อวานนี้ ได้เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันซ้ำขึ้นมาอีก  คนไข้สตรีรายหนึ่ง อายุ 35 ปี ตั้งครรภ์ที่ 3  อายุครรภ์ 39 สัปดาห์ มาโรงพยาบาลด้วยเรื่องน้ำเดิน หลังจากนอนรอคลอดได้ประมาณ ชั่วโมง ปากมดลูกก็เปิดหมด ก่อนหน้านี้ คนไข้ให้ความร่วมมือดีมาตลอด ตอนที่ข้าพเจ้าขึ้นไปห้องคลอด ตรวจสภาพความเรียบร้อยภายในห้องคลอด ได้เปิดดูประวัติคนไข้คร่าวๆ ก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่พอพ้นออกจากห้องคลอดไปไม่นาน กลับเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว 

 คนไข้ร้องโวยวาย ดิ้นรนขยับร่างกาย แขนขาไปมาบนเตียงคลอดอย่างไม่รู้สึกตัวและค่อนข้างรุนแรงจนพยาบาลห้องคลอด 3-4 คนจับไม่อยู่  ปากคนไข้ก็ร้องตะโกนซ้ำๆกันหลายครั้งว่า “ อย่าเอาลูกฉันไป ๆ…… ” ซึ่งไม่มีใครเข้าใจความหมายที่แท้จริง 

พยาบาลได้เรียกผ่านวิทยุติดตามตัวให้โทรศัพท์กลับไปยังห้องคลอดด่วน  ข้าพเจ้ารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย  แต่ก็โทรกลับไป  ในระหว่างรายงานโดยพยาบาลห้องคลอด  ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคนไข้ร้องโวยวายเสียงดังลั่น ฟังไม่รู้เรื่อง ข้าพเจ้าสั่งการทางโทรศัพท์ให้ผ่าตัดด่วนเลย

เมื่อไปถึงห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าขอตรวจภายในคนไข้รายนี้   เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของการคลอด ข้าพเจ้าพบว่า ปากมดลูกเปิดหมด ศีรษะเด็กไม่ใหญ่มากและลงมาค่อนข้างต่ำ  จากการคะเนน้ำหนัก ทารกน้อยน่าจะหนักประมาณ  3000 กรัม  ซึ่งเมื่อเทียบกับครรภ์ก่อนๆ น่าจะคลอดเองได้อย่างแน่นอน เพราะ ลูกคนแรกและคนที่ ตอนคลอดมีน้ำหนักถึง และ 3.6 กิโลกรัมตามลำดับ  

คนไข้รายนี้ถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดสูติฯ ตามความตั้งใจแต่แรกว่าจะผ่าเอาเด็กออกทางหน้าท้อง พยาบาลห้องผ่าตัดถามข้าพเจ้าว่า “ หมอจะให้คลอดเองทางช่องคลอดโดยดมยาไหม?  เพราะปากมดลูกเปิดหมดแล้ว เด็กตัวเล็กและหัวเด็กลงมาค่อนข้างต่ำ ” 

ข้าพเจ้าหยุดชะงักกับคำทักทายนี้และสั่งชลอการผ่าตัดเอาไว้ก่อน  ข้าพเจ้าขอตรวจภายในซ้ำอีกครั้ง ซึ่งยังคงคาดคะเนเหมือนเดิมว่า เด็กตัวขนาดนั้นน่าจะคลอดทางช่องคลอดได้

“ เอาอย่างนี้ ใส่ท่อช่วยหายใจให้กับคนไข้ไปเลย ผมจะใช้คีมคีบศีรษะเด็กและดึงคลอดเหมือนกับคนไข้ธรรมดาที่มีปัญหาคลอดยาก ” ข้าพเจ้าเปลี่ยนแผนกระทันหัน หลังจากพยาบาลห้องผ่าตัดพูดทักขึ้น

แต่พอใส่คีมเข้าไปหนีบคร่อมศีรษะทารกและดึง ปรากฏว่า ศีรษะเด็กขยับตามลงมาเพียงเล็กน้อย  ข้าพเจ้าดึงคีมทำคลอดอย่างเต็มที่ ครั้ง ทารกก็ไม่คลอด   

ระหว่างนั้น พยาบาลดมยารายงานว่า “ ปัสสาวะของคนไข้ออกมาเป็นเลือด หมอจะให้ทำอะไรไหม ? ”

“ ดูไปก่อน ก็แล้วกัน ลองให้น้ำเกลือมากๆหน่อย  สักพักหนึ่งปัสสาวะคงใสขึ้น  ถ้าปัสสาวะไม่ดีขึ้น เดี๋ยวให้แพทย์ฝึกหัด ( Extern ) ไปสวนล้วงกระเพาะปัสสาวะที่หอผู้ป่วย ” ข้าพเจ้าบอกถึงแนวทางการรักษา ซึ่งต่อมาปรากฏว่า ต้องไปสวนล้างกระเพาะปัสสาวะจริงๆ ปัสสาวะของคนไข้จึงใสขึ้น และไม่เกิดเลือดออกทางกระเพาะปัสสาวะอีกเลย บางที การมีเลือดออกทางกระเพาะปัสสาวะของคนไข้รายนี้ อาจเกิดเนื่องจากการดึงคลอดด้วยคีม ก็เป็นไปได้ 

มาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าไม่อยากเสี่ยงอีกต่อไป เพราะกลัวเด็กจะตายเหมือนกับกรณีของคนไข้รายแรก ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอให้พยาบาลจัดท่าให้ใหม่ เพราะเดิมคนไข้อยู่ในท่าขึ้นขาหยั่ง     ( Lithotomy position )   จากนั้น จึงลงมือผ่าตัดทันที

พอเปิดเข้าไปในโพรงมดลูกทางมดลูกส่วนล่าง  ก็พบว่า  ทารกอยู่ในท่านอนหงาย  ถึงว่าละข้าพเจ้าจึงไม่สามารถใช้คีมดึงศีรษะทารกคลอดทางช่องคลอดได้  ถ้าตอนนั้น เปลี่ยนเป็นใช้เครื่องดูดสุญญากาศแทนคีมดึงศีรษะทารก ข้าพเจ้าคิดว่า น่าจะดึงคลอดได้สำเร็จ เพราะเด็กตัวไม่ใหญ่และศีรษะเด็กจะต้องมีการหมุนระหว่างที่เคลื่อนตัวลงมา โดยเมื่อมาถึงบริเวณใกล้ปากช่องคลอด เด็กจะหมุนศีรษะและเงยหน้าขึ้นตามกลไกการคลอดแบบธรรมชาติ  ทำให้คลอดได้สำเร็จ

ทารกที่คลอดเป็นเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 3060 กรัม แข็งแรง ร้องดังและหายใจดี  คะแนนสภาวะแรกคลอดเท่ากับ และ 10 ตามลำดับ  แต่เนื่องจากศีรษะเด็กอยู่ลึกลงไปในช่องคลอดอย่างมาก  การล้วงมือลงไปทางอุ้งเชิงกรานลึกๆ ทำให้มดลูกส่วนล่างเกิดการฉีกขาดทางด้านข้างเป็นแนวยาวมากทั้งสองข้าง  

การเย็บมดลูกส่วนล่างดังกล่าวต้องกระทำด้วยความระมัดระวังยิ่ง สูติแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์มากพอ อาจมีปัญหาเรื่องการเย็บบริเวณนี้  บางที การตัดมดลูกอาจกระทำได้ง่ายกว่า แต่ผลเสีย ก็ดั่งที่รู้ คือ คนไข้จะไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป  ข้าพเจ้าเลือกที่จะเย็บมดลูกส่วนล่างที่ฉีกขาดนี้โดยเย็บที่ละเข็ม ( Stitch ) เป็นรูปเลขแปด ( Figure of eight )    เริ่มที่มุมล่างสุดก่อน แล้วเย็บไล่ขึ้นมาตามลำดับ  ในที่สุด  ก็สามารถเย็บปิดส่วนฉีกขาดทั้งสองข้างได้  หลังจากนี้ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป …………

นี่คือ เรื่องราวของคนไข้แสดงอาการจิตวิปริตขณะคลอด ( Psychosis )  ราย ซึ่งผลสุดท้ายลงเอยแตกต่างกัน  ประสบการณ์จากคนไข้รายแรก ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเรื่องการรักษาในรายที่สองได้ดีขึ้น    การรอเวลาเพื่อให้คนไข้กลับมาร่วมมือในการคลอดตามธรรมชาติ  เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะคนไข้ไม่รู้สึกตัวแล้ว เสมือนจิตของเขาแตกแยกกลายเป็นอีกคนหนึ่ง  หลังจากที่คนไข้รายที่สองกลับมารู้ตัวดีในวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าได้ถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและคำพูดต่างๆที่เธอพร่ำเพ้อ  เธอบอกว่า “ จำอะไรไม่ได้  ตอนนั้น รู้สึกเหมือนมีใครจะมายื้อแย่งลูกไป แต่ฉันไม่ยอม  ลูกสาวคนที่เสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว ก็มาช่วยเหลือดิฉันอีกแรงหนึ่ง  แย่งลูกชายกลับมา 

“ ลูกสาวคนที่สองอายุ เท่าไร และเสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไร? ” ข้าพเจ้าถาม

“ ลูกสาวอายุ 13 ขวบ  เธอเป็นโรคมาลาเรีย เสียชีวิตเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ” คนไข้ตอบ

“ อืมเป็นเรื่องที่แปลก เออตอนนี้ ถือว่า ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรอีกแล้ว  ลูกคุณปลอดภัยดี  ส่วนคุณเอง  คงต้องดูอาการไปสัก 2- 3 วัน ปัสสาวะที่ออกมา  ก็ใสดีแล้ว  ถ้าไม่มีความผิดปกติอะไร คุณคงกลับบ้านพร้อมลูกได้ในเร็ววัน ขอให้โชคดี ” ข้าพเจ้าดีใจที่เห็นคนไข้อยู่ในสภาพที่สุขสบายดี ไม่ต้องถูกตัดมดลูก สุดท้าย ก็ได้อวยพรให้กับคนไข้รายนี้ ขอให้ ไม่ต้องพบกับโชคร้ายเหมือนกับคนไข้รายแรก

เรื่องราวของคนไข้ที่แสดงอาการจิตวิปริตขณะเบ่งคลอด บางทีอาจมีสาเหตุมาจากความเครียดผสมกับความเจ็บปวดอย่างที่สุด ข้าพเจ้าไม่เคยได้เรียนรู้หรือเห็นในตำราเกี่ยวกับโรคจิตชนิดนี้เลย  ในตำรามีแต่โรคจิตหลังคลอด ( postpartum psychosis )  ดังนั้น ตั้งแต่พบคนไข้รายแรกที่แสดงอาการทางจิตแปลกๆขณะคลอด  ก็ไม่เคยคิดว่า จะพบคนไข้ลักษณะแบบนี้อีก 

เรื่องราวชีวิตของคนเราในอดีต ก็เหมือนกัน คงมีบ้างที่เลวร้ายจนยากจะลืมและทำให้จิตใจของเราผิดปกติไป เราอาจคิดว่า มันคงไม่เกิดขึ้นมาอีก  แต่..จู่ๆ บางทีมันก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง  อย่างไรก็ตาม เราต้องพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์เช่นนั้น และทำให้ดีที่สุด เราไม่ควรประมาทกับชีวิต  โปรดอย่าคิดว่า  อาการจิตวิปริตจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเรา  ตราบใดที่เรายังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความเครียดและการแก่งแย่งชิงดี……….

$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เดินทางไปต่างประเทศ

เรียนท่านผู้อ่านที่เคารพรัก วันที่ 7 มีนาคม 2553 ข้าพเจ้าจะออกเดินทางไประเทศอินเดีย โดยมีกำหนดในเบื้องต้น 4 วัน คือจะกลับในวันที่ 10 ม...